STARTDEE ชู"เทคโนโลยี"เป็นกุญแจสำคัญส่งเสริมการศึกษายุค New Normal - Siam Highlight

Breaking

Home Top Ad

Post Top Ad

Responsive Ads Here

Friday, July 10, 2020

STARTDEE ชู"เทคโนโลยี"เป็นกุญแจสำคัญส่งเสริมการศึกษายุค New Normal


STARTDEE ชวนปรับ “TECH” เป็น “TEACHER” ชี้เทคโนโลยีการศึกษายุคใหม่ ต้องเข้ามาเป็น ‘ตัวช่วย’ ไม่ใช่ ‘สิ่งทดแทน’
 
    แม้โรงเรียนจะกลับมาเปิดเทอมตามปกติ แต่แน่นอนว่ารูปแบบการสอนและการเรียนรู้ของเด็กไทยจำต้องเปลี่ยนแปลงไป โควิด-19 ส่งผลกระทบกับโลกในหลายด้าน และยังเป็นตัวเร่งสำคัญในการดึงเอาอนาคตมาเป็นปัจจุบัน การเรียนรู้ยุคใหม่จึงต้องก้าวตามทันความเปลี่ยนแปลง ทิศทางการศึกษาไทยจึงเป็นยุคแห่งการเข้ามาของเทคโนโลยี และยังคงต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง นี่จึงเป็นที่มาของ STARTDEE EDUCATION FORUM 2020 กับคำถามที่ร่วมกันหาคำตอบว่า “เมื่อโฉมหน้าห้องเรียนหลังเปิดเทอมเปลี่ยนไป ออกแบบการศึกษาอย่างไร ให้เด็กไทยเรียนรู้ได้อย่างไร้รอยต่อ” พร้อมเชิญผู้คร่ำหวอดในวงการการศึกษาไทยร่วมเสวนาระดมความคิดสะท้อนมุมมองจาก 5 ภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคเทคโนโลยีทางการศึกษา ภาคบุคลากรทางการศึกษา หรือคุณครู และภาคสื่อการเรียนรู้ หรือตัวแทนผู้ปกครอง
 
    คุณพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้ง StartDee แอปพลิเคชันด้านการศึกษาที่มุ่งนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาระบบการศึกษาไทย โต้โผสำคัญของการจัดงาน STARTDEE EDUCATION FORUM 2020 กล่าวว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้การศึกษาใน New Normal เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ พร้อมชูแนวคิด ‘TURN TECH TO TEACHER’ นำเทคโนโลยีมาช่วยปลดล็อคการศึกษา ดังนี้
 
    T - Teaching  (เนื้อหาการสอน)
    ให้บริการบทเรียนคุณภาพที่ให้ความรู้อย่างครอบคลุมทั้งด้านวิชาการและทักษะชีวิตที่จำเป็น

    E – Experience  (ประสบการณ์การเรียน)       
    สร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่สนุก สั้นกระชับ และเข้าใจง่าย ตอบโจทย์ผู้เรียนยุคใหม่

    C - Classroom  (ตัวช่วยครูในห้องเรียน)         
    เป็นทางเลือกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสอนให้กับครู ไม่ได้มาแทนที่

    H - Handmade/Personalized  (เฉพาะบุคคล)             
    การเรียนรู้ที่เหมาะกับผู้เรียนแต่ละคน ราวกับออกแบบมาให้เราคนเดียว

 
    นอกจากการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี (TECH) แล้ว คุณพริษฐ์ยังกล่าวเพิ่มเติมถึงความตั้งใจของ StartDee ที่จะร่วมพัฒนาการศึกษาไทยให้ดียิ่งขึ้นอย่างรอบด้าน ได้แก่
    A – Access (ขยายการเข้าถึง) เข้าถึงง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทั้ง iOS, Android และ Desktop พร้อมร่วมมือกับ AIS แจกซิมฟรี ให้เด็ก ๆ ทั่วประเทศใช้บริการได้โดยไม่เสียค่าอินเทอร์เน็ต
    E – Equality (สร้างความเท่าเทียม) สนับสนุนความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยการร่วมมือกับ Garena, Taejai และบริษัทที่สนใจด้านการศึกษา เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กที่อยู่ห่างไกลและมีฐานะยากจน
    R – Research & Data (ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล) นำข้อมูลที่มีมาใช้วิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาให้ตอบโจทย์ผู้เรียนมากขึ้นอยู่เสมอ รวมถึงวางแผนร่วมมือกับหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ เพื่อออกแบบงานวิจัยร่วมกัน
 
    นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงประเด็นการออกแบบการศึกษาให้เด็กไทยเดินหน้าต่อได้อย่างไร้รอยต่อ คุณพริษฐ์ได้แบ่งปันมุมมองว่า สิ่งที่ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีการศึกษาควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ การออกแบบหลักสูตรให้สอดคล้องไปกับประสบการณ์เรียนออนไลน์ (online experience) ของผู้เรียน 3 ด้าน ดังนี้

    “จูงใจ” เริ่มจากการดึงดูดผู้เรียนให้อยากเข้ามาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ โดยทำให้การเรียนกลายเป็นเรื่องสนุก ผ่านฟีเจอร์ StartDee World ที่สอดแทรกความเป็นเกม (Gamification) เข้าไปในการเรียนรู้ ซึ่งพบว่าช่วยให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นถึง 72 % นับเป็นองค์ประกอบในการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กตั้งใจเรียนได้ แม้ไม่มีคุณครูคอยกำกับการเรียนการสอน
 
    “จดจ่อ” เมื่อจูงใจให้เข้ามาใช้งานได้แล้ว ต้องออกแบบบทเรียนที่ดึงความสนใจให้เรียนจนจบได้ จากการวิเคราะห์พฤติกรรมการรับชมวิดิโอกว่า 3,000 รายการของ StartDee พบว่า คลิปที่มีความยาวประมาณ 2-3 นาที มีอัตราการชมคลิปจนจบสูงถึง 70-80% ในขณะที่คลิปซึ่งมีความยาวเกิน 6 นาที จะมีจำนวนคนรับชมคลิปจนจบน้อยลงเรื่อยๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ และหากคลิปวิดิโอมีความยาวเกิน 10 นาที จะเหลือผู้เรียนที่รับชมคลิปจนจบเพียง 50% เท่านั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เนื้อหาที่จะช่วยให้ผู้เรียนจดจ่อได้ ต้องไม่ยาวจนเกินไป
 
    “จดจำ” สุดท้ายนี้ การจะออกแบบบทเรียนออนไลน์ให้สัมฤทธิ์ผลสูงสุดได้ ต้องเข้าใจและจดจำได้ง่าย ซึ่งบทเรียนของ StartDee ใช้วิธีการ Story-telling คือ เริ่มต้นคลิปด้วยบทบาทสมมติที่สอดคล้องกับเนื้อหาในแต่ละบทเรียน พร้อมแอนิเมชันและ real-time pop-up text ที่ช่วยให้ journey ในการเรียนลื่นไหลและง่ายต่อการจดจำ

 
    คุณทัฬหวิชญ์ ฐิติรัตน์สกุล นักวิชาการด้านการปฏิรูปการศึกษา สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้เผยบทเรียนสำคัญที่ภาคการศึกษาได้รับว่า ประเทศไทยยังมีข้อจำกัดในการเรียนทางไกลค่อนข้างสูง ทิศทางการปรับตัวในอนาคตต้องเริ่มจากการตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้ให้ชัด แล้วเริ่มหาทางออกที่สอดคล้องกับบริบทใหม่ “ทุกภาคส่วนต้องมองหาวิธีการยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการศึกษามากขึ้นนั้นเป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องเปิดโอกาสให้การออกแบบการสอนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ผสมผสานระหว่างระบบออฟไลน์และออนไลน์ ให้ตรงกับบริบทการสอนที่หลากหลาย”
 
    ส่วนตัวแทนคุณครูรุ่นใหม่ ครูร่มเกล้า ช้างน้อย ครูคณิตศาสตร์จาก โรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม เจ้าของไอเดียขับเคลื่อนการสอนรูปแบบใหม่ใน Inskru ได้เล่าถึงหัวใจของการปรับการสอนให้สอดคล้องกับบริบทการเรียนที่เปลี่ยนไปว่า ต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจนักเรียนก่อน ว่ามีความพร้อม-ไม่พร้อมอย่างไรบ้าง และต้องศึกษาทุกความเป็นไปได้ในการจัดการเรียนการสอน “ตัวอย่างผลงานที่เคยทำ คือ QR Sheet เป็นเอกสารประกอบการเรียนที่มี QR code ไปสู่คลิปบทเรียน กำกับในเนื้อหาแต่ละเรื่อง ออกแบบมาให้สอดคล้องกับ journey ของผู้เรียน มีระดับความง่าย-ยาก ไล่เรียงกันไป”
 
    ด้าน คุณเมธวิน ปิติพรวิวัฒน์ ผู้ก่อตั้ง BASE Playhouse โรงเรียนแนวใหม่ที่ให้เด็กทุกคนจะเติบโตและเก่งในแบบของตัวเองได้ ได้แชร์มุมมองถึงการออกแบบการเรียนรู้นอกห้องเรียนในอนาคต ว่านอกจากความรู้ทางวิชาการแล้ว ต้องคำนึงถึง ทักษะ หรือ ความสามารถอื่น ๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานด้วย โดยผสานการฝึกฝนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เข้ากับเทคโนโลยีให้เกิดเป็นประสบการณ์เรียนที่สนุกอย่างแท้จริง “โจทย์ของเราในยุคต่อจากนี้ คือ การสร้างทักษะให้เด็กยุคใหม่เก่งได้ โดยใช้สัดส่วนของออนไลน์แพลตฟอร์มมาช่วยอย่างเหมาะสม ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำลายความสนุก และเสน่ห์ของการฝึกผ่านการลงมือทำจริง”
 
    ปิดท้ายที่คุณกัญญาภัค บุญแก้ว ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษา บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า พ่อแม่และผู้ปกครองจะเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนหลัง new normal ของลูก แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องปรับตัวให้เท่าทันรูปแบบการเรียนและความสนใจของลูกในยุคดิจิทอลให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-study) การเปิดใจและยอมรับพฤติกรรมการเสพข้อมูลบนโลกออนไลน์ของลูก ช่วยเฟ้นหาตัวเลือกเทคโนโลยีด้านการศึกษาที่เหมาะสมกับลูกที่สุด ไปจนถึงการปลูกฝังการรักการอ่านและทักษะชีวิตที่สำคัญในโลกอนาคต “ที่ผ่านมาพ่อแม่และผู้ปกครองอาจทิ้งภาระและความคาดหวังทางการเรียนของลูกไว้ที่โรงเรียน แต่โควิด-19 ได้สอนบทเรียนให้เรารู้ว่า การสนับสนุนจากสถาบันครอบครัวนั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด”

    และนี่ก็นับว่าเป็นความท้าทายของระบบการศึกษาไทย ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะเด็กนักเรียน แต่รวมไปถึงทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน โรงเรียน คุณครู รวมไปถึงผู้ปกครอง ในการที่จะปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยงแปลงของการศึกษาโลกในยุคใหม่ พร้อมใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาเป็นตัวช่วย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

No comments:

Post a Comment

Post Bottom Ad

Responsive Ads Here

Pages