นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์หนุนกระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตเร่งศึกษานโยบายภาษีสรรพสามิตบุหรี่ที่เหมาะสม หลังเห็นปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ชี้โครงสร้างภาษีใหม่ควรตอบโจทย์ทั้งเรื่องรายได้รัฐ ชาวไร่ยาสูบ สาธารณสุข และการแข่งขันในตลาด รวมทั้งไม่ส่งผลต่อการค้าบุหรี่เถื่อน
จากกรณีตัวแทนภาคียาสูบแห่งประเทศไทยเข้าพบนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อติดตามทวงถามเรื่องเงินชดเชยและความคืบหน้าการแก้ปัญหาชาวไร่ยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีบุหรี่ เมื่อเดือนกันยายน 2560 และได้เปิดเผยว่ากรมสรรพสามิตและกระทรวงการคลังกำลังเร่งปรับโครงสร้างภาษียาสูบ โดยจะมีความชัดเจนภายในมีนาคม 2564 นั้น
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามความคิดเห็นในประเด็นนี้จากนักวิชาการที่เคยร่วมเสวนาในงานสัมมนาหัวข้อ “มาตรการภาษียาเส้นเพื่อลดการบริโภคยาสูบให้ได้ตามเป้าหมาย”
“การขึ้นภาษีบุหรี่เป็นเรื่องที่ควรทำเมื่อมองในมุมด้านสุขภาพแต่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 การปรับเปลี่ยนอัตราภาษีต้องคำนึงถึงรายได้ของเกษตรกรยาสูบด้วยรวมทั้งพิจารณาใช้ตัวเลขทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวกำหนดอย่างที่เป็นหลักปฏิบัติในสหราชอาณาจักรและประเทศนิวซีแลนด์”
“ที่ผ่านมารัฐได้ประโยชน์จากภาษียาสูบในฐานะแหล่งรายได้ แต่ด้วยโครงสร้างภาษีบุหรี่ปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการมีรายรับสุทธิต่อซองประมาณ1 บาท จากเดิมเกือบ 7 บาท ซึ่งในระยะปานกลางกำไรระดับนี้การยาสูบฯ น่าจะประสบปัญหาฐานะการเงินในอีกไม่นานนัก และในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมา ภาระภาษีที่สูงก็ไม่ได้นำมาซึ่งรายได้ภาษีที่เพิ่มขึ้นหรือช่วยให้คนสูบลดลง แต่กลับเป็นการสร้างปัญหาให้กับอุตสาหกรมยาสูบดังนั้น หลักในการพิจารณาโครงสร้างภาษีบุหรี่ง่าย ๆ อีกข้อระดับภาระภาษีต้องไม่สูงเกินไป ซึ่งค่าเฉลี่ยภาระภาษีของประเทศอื่นๆ ที่มีลักษณะทางสังคมและโครงสร้างเศรษฐกิจคล้าย ๆ กัน อยู่ที่ร้อยละ 54แต่ปัจจุบันระดับภาระภาษีบุหรี่ในประเทศไทยสูงที่สุดในแถบเอเชีย คือร้อยละ 78.6”
ขณะที่ รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวว่า “มีความจำเป็นต้องขึ้นภาษียาสูบ และย้ำเสมอว่าการขึ้นภาษีควรกระทำโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจและการเมือง ดังนั้น ผมจึงเสนอแนะให้มีการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1) การขึ้นภาษีควรทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค 2) การขึ้นภาษีไม่ควรสร้างภาระภาษีที่สูงจนเกินไป เพราะจะกระทบต่อความยั่งยืนด้านรายได้รัฐและต่ออุตสาหกรรมยาสูบ และ 3) การขึ้นภาษีควรกำหนดเป็นแผนและระยะเวลาที่ชัดเจนในการปิดหรือลดช่องว่างภาษีสำหรับยาสูบประเภทต่างๆ โดยสำหรับบุหรี่จำเป็นต้องค่อย ๆ ยุบอัตราภาษีมูลค่าให้เหลืออัตราเดียวในที่สุด เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และยาเส้นก็ต้องขึ้นภาษีอย่างต่อเนื่องเพื่อลดช่องว่างภาษีให้ได้ในที่สุด”
No comments:
Post a Comment